ความรักสะอาด
แมวมักจะใช้เวลานานในการเลียตกแต่งขนของตนเองเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาความสะอาด กำจัดฝุ่น สิ่งสกปรก และยังทำให้ขนเรียบ มีคุณสมบัติเป็นฉนวนที่ดียิ่งขึ้น เพราะขนที่ตั้งจะเป็นฉนวนที่ไม่ดี อันจะทำให้แมวที่อยู่ในที่หนาวเย็นขาดความอบอุ่นได้
แต่ในทางกลับกัน ในฤดูร้อนแมวก็จะเลียขนมากขึ้น เพื่อระบายความร้อนในร่างกาย กล่าวคือเมื่อแมวเลียตัวให้เปียกแล้ว เมื่อน้ำลายระเหยออกไป จะทำให้อุณหภูมิที่ผิวหนังเย็นลง เหมือนกับการระเหยของเหงื่อบนผิวหนังของคน และเมื่อแมวถูกแสงแดด พวกมันก็จะเลียตัวมากขึ้น เพื่อรับวิตามินดีในแสงแดด
ในบางครั้ง แมวจะเลียตกแต่งขนตนเองเพื่อระบายความเครียด หรือลดอาการเก้อเขิน และหากท่านอุ้มแมวขึ้นมา เมื่อปล่อยมันลงพวกมันก็จะเลียขนทันที เพื่อให้ขนเรียบ และลบกลิ่นของตนที่ติดอยู่ที่ตัวของมัน อีกทั้งยังเป็นการรับกลิ่นของคนได้อย่างดีอีกด้วย
แมวจะเริ่มเลียตกแต่งขนของตนเองเมื่อมีอายุได้สามสัปดาห์ขึ้นไป โดยก่อนหน้านั้นจะมีแม่แมวคอยช่วยเลียตกแต่งขนให้ การเลียตกแต่งขนให้แก่กันและกันระหว่างแมวสองตัวนั้น นอกจากจะเป็นการดูแลในด้านความสะอาดให้กันและกัน และช่วยทำความสะอาดให้แก่กันในส่วนที่เลียได้ไม่ทั่วถึงแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างกันที่ดีอีกด้วย
พฤติกรรมการตกแต่งขนของแมว มีลักษณะเป็นขั้นตอนดังนี้
1. เลียปาก
2. เลียด้ายข้างของอุ้งเท้าด้านหนึ่งจนเปียก
3. เอาอุ้งเท้าข้างที่เปียกถูแก้มและคาง
4. ทำให้อุ้งเท้าอีกข้างเปียกด้วยวิธีการเดิม
5. เอาอุ้งเท้าข้างที่เปียกถูข้างหัว
6. เลียขาหน้าและไหล่
7. เลียลำตัว
8. เลียบริเวณอวัยวะเพศ
9. เลียเท้าหลัง
10. เลียหางจากโคนถึงปลายซึ่งในการแต่งขนของแมวนี้
แมวสามารถใช้ฟันแกะเกาหรือสางขนที่พันกันยุ่งออกไปได้ และสำหรับส่วนที่เข้าถึงยาก ท่านอาจจะพบแมวสองตัวช่วยกันเลียทำความสะอาดให้แก่กัน ถ้าแมวสองตัวนั้นเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
ประสาทสัมผัส
แมวจะเคลื่อนไหวโดยให้น้ำหนักทุกส่วนอยู่บริเวณอุ้งฝ่าเท้า เพื่อให้การทรงตัวเกิดความสมดุลและมีประสิทธิภาพ ข้อเท้า หลัง และขาของแมวมีความยืดหยุ่นและโค้งงอได้เสมอ โครงสร้างกระดูกสันหลังและระหว่างนิ้วเท้าทั้งสี่ข้างที่ข้อนิ้วเท้าจะเชื่อมติดกับอุ้งฝ่าเท้า อีกทั้งศีรษะของแมวยังสามารถหมุนไปด้านหลังได้อีกด้วย องค์ประกอบโครงสร้างกระดูกสันหลังจะเชื่อมต่อสู่ส่วนต่างๆของกล้ามเนื้อ กลายเป็นแหล่งที่สะสมพลังงานไว้มากมาย บริเวณพื้นที่ของกระดูกเชิงกรานและขาหลังจะมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ เราจึงเห็นว่าแมวสามารถกระโดดได้สูงมาก และช่วงคอและไหล่ของแมวจะมีกล้ามเนื้อ ช่วยให้แมวไล่จับเหยื่อได้อย่างว่องไวและแม่นยำ
ในส่วนของระบบการควบคุมสมองของแมวที่เกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อและอวัยวะอื่นๆจะมีความสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก สิ่งเหล่านี้ได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดีเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงเข้าสู่ระบบประสาท และระบบการรับความรู้สึก ส่วนระบบของอวัยวะที่มีหน้าที่รับความรู้สึกและการตอบสนองจะเกิดความผันผวนได้ง่าย
วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552
ประวัติความเป็นมาของแมว
ประวัติความเป็นมาของแมวแมวมีชื่อเรียกเป็นภาษาละตินหรือวิทยาศาสตร์ว่า เฟลิส คาตัส (Felis Catus) หรือ เฟลิส โดเมสติก้า (Felis Domestica) ชื่อทั้งสองนี้ใช้เรียกกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1758 แมวจัดอยู่ในอาณาจักรสัตว์ ไฟลัม (Phylum) Chordata หรือสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้น (Class) Mammalia หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อันดับ (Order) Carnivora หรือสัตว์กินเนื้อ ตระกูล (Family) Felidae หรือแมวนั่นเองแมวจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก มีลำตัวค่อนข้างยาว ช่วงขาค่อนข้างสั้น กินเนื้อเป็นอาหาร แมวในโลกทั้งหมดมีอยู่กว่า 40 สายพันธุ์ ขนยาวบ้างสั้นบ้าง มีความเชื่อกันว่าแมวมีบรรพบุรุษเดียวกับเสือดาวและสิงโต แล้วมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาจนเป็นแบบในปัจจุบัน และยังมีความเชื่อว่า แต่เดิมเป็นสัตว์ป่าในทวีปแอฟริกา ชาวอียิปต์โบราณนำมาเลี้ยงไว้ในบ้านเพื่อช่วยจับหนู นอกจากนี้ชาวอียิปต์โบราณยังเป็นชนชาติแรกที่นำแมวมาฝึกให้เชื่อง ต่อมาได้มีการขยายพันธุ์แมวออกไปทั่วทุกหนทุกแห่งในโลก โดยมีผู้สันนิษฐานว่า แมวอาจถูกนำติดไปกับเรือสินค้าที่แล่นไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หรืออาจติดไปกับเรือของพวกโฟนีเชียนที่จอดทอดสมออยู่ในอียิปต์ การติดต่อค้าขายทางเรือได้นำแมวมาถึงอินเดียและจีน เพราะในเรือสินค้าจำเป็นจะต้องมีแมวเพื่อช่วยในการกำจัดหนู ดังนั้น แมวจึงแพร่หลายไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
ชาวอียิปต์โบราณเรียกแมวว่า "เมียว" (Mau) ซึ่งใกล้เคียงกับภาษาไทยจากการค้นคว้าของนักชีววิทยาเกี่ยวกับสัตว์ พบว่า แมวส่วนใหญ่ถือกำเนิดมาจากบรรพบุรุษเดียวกับสุนัขหรืออีเห็น ดังนั้นเมื่อสังเกตลักษณะของแมว จะคล้ายคลึงกับอีเห็น สำหรับทางวิชาสาขาสิ่งมีชีวิตสมัยโบราณ ได้มีการตั้งชื่อให้ว่า Miacis แมวตระกูลนี้มีมาแล้วกว่า 50 ล้านปี และมีการวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์ที่ลักษณะคล้ายแมว เรียกว่า Dinistis ซึ่งมีขึ้นมาเป็นระยะเวลามากกว่า 10 ล้านปี ซึ่งสัตว์ชนิดนี้มีรูปร่างใกล้เคียงกับแมวป่า แต่ขนาดใหญ่กว่ามาก สังเกตได้จากฟันที่มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับฟันของสุนัข ซึ่งแมวในยุคสมัยหนึ่งล้านปีก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ได้รับการวิวัฒนาการมาจาก Dinistis ซึ่งมีฟันเหมือนสุนัขหรือเสือ แต่ปัจจุบันสัตว์ชนิดนี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ต้นตระกูลของแมวแยกมาจากเสือไซบีเรียน ที่ทีช่วงลำตัวนับจากบริเวณจมูกจนถึงปลายหางยาวประมาณ 4 เมตร หรือมากกว่า 13 ฟุต ผิวลำตัวลายดอก มีจุดสีน้ำตาลทึบ สำหรับแมวที่มีต้นกำเนิดจากประเทศแถบอินเดียหรือศรีลังกา จะมีความยาวของลำตัวมากกว่า 60 เซนติเมตร หรือ 2 ฟุต ได้มีการรวบรวมสายพันธุ์แมว (Species) ทั้งหมดไว้ถึง 36 ชนิด โดยจัดแมวไว้อยู่กลุ่มเดียวกับสิงโตและเสือดาว สำหรับแมวบ้านต่างๆ ที่นิยมเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นแมวชนิดเดียวกันทั้งหมด โดยมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับแมวป่า อันเป็นแมวสายพันธุ์ดั้งเดิมของโลกสำหรับแมวที่ถือกำเนิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ได้แก่ แมวทางทวีปอเมริกาใต้และเหนือ มีลักษณะศีรษะเล็ก หางเล็กเรียวยาว ส่วนแมวพื้นเมืองของยุโรปมีลักษณะขนาดเล็ก ช่วงขาสั้น หางสั้น บางครั้งอาจพบแมวพันธุ์นี้ในประเทศทางแถบทวีปเอเชียด้วย ส่วนแมวที่มีขนาดใหญ่ ช่วงหลังมีจุดประ มีถิ่นอาศัยอยู่แถบตอนกลางและใต้ของทวีปอเมริกา เป็นแมวพันธุ์พื้นเมืองที่มีต้นตระกูลอยู่ในมลรัฐเท็กซัสและอเมริกาใต้ มีจุดแถบลายเหมือนลักษณะของเสือ ส่วนแมวป่าที่อาศัยอยู่ในแอฟริกามีความสูงประมาณ 2 ฟุต ช่วงขายาว หูปรก มีจุดและลายบริเวณช่วงหลัง แมวอีกประเภทก็คือ แมวป่าคาราดอล อาศัยอยู่ทางแถบเขตร้อนของอเมริกา ช่วงขาสั้น ส่วนแมวป่าอีกประเภทหนึ่ง คือแมวป่าที่อาศัยอยู่ในเขตกึ่งร้อนของอเมริกา จัดเป็นพันธุ์พื้นเมือง มีจุดประและลาย ลำตัวขนาดเล็ก
กลับไปที่หน้ารวมลิ้งค์ >>
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)